vnjoytravel
รีวิวทริป

เขตปลอดทหาร (Demilitazied zone: DMZ)
ถูกใช้เป็นพื้นที่แบ่งแยกประเทศเวียดนามออกเป็น เวียดนามเหนือ และ เวียดนามใต้
ซึ่งต่อมาพื้นที่นี้ก็กลายมาเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือด จุดเริ่มต้นของสงครามเพื่อรวมประเทศ
แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วแต่พื้นที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวและร่องรอยทางประวัติศาสตร์
ที่ควรค่าแก่การมาเยือนเพื่อสัมผัสกลิ่นไอแห่งสงครามครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศเวียดนาม

 


ด่านชายแดนลาวเบ๋า ใน จ.กว๋างจิ

 

เขตปลอดทหาร เกิดขึ้นจากข้อตกลงเจนีวา เมื่อปี ค.ศ.1954
ที่กำหนดให้เส้นขนานที่ 17 เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศเวียดนามเหนือ และ เวียดนามใต้
ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของ จ.กว๋างจิ บริเวณตอนกลางของประเทศเวียดนาม
สามารถเดินทางจากประเทศไทยไป จ.กว๋างจิ ได้ง่ายโดยการนั่งรถผ่านประเทศลาว
ใช้เวลาเพียงครึ่งวันจาก จ.มุกดาหาร ก็ไปถึง จ.กว๋างจิ แล้ว
>>> ข้อมูลการเดินทาง <<<

สถานที่แรก คือ ฐานบินต่าเกิน ที่อยู่ในเมืองแคซานห์ สถานที่เกิดการปะทะกันครั้งแรกในสงครามเวียดนาม
กองทัพเวียดนามเหนือได้เปิดศึกบุกโจมตีเวียดนามใต้ที่ฐานบินต่าเกินของสหรัฐอเมริกา
ที่นี่เป็นสมรภูมิรบที่โด่งดัง ที่รู้จักในชื่อ "สมรภูมิแคซานห์"
ปัจจุบันภายใน ฐานบินต่าเกิน ได้เก็บรวบรวมเครื่องบินรบ อากาศยาน รถถัง ที่ใช้ในสงครามไว้ให้ชม
สถานที่ยังคงได้รับการรักษาดูแลให้เหมือนในอดีต
ทุ่งหญ้าที่เขียวขจีโอบล้อมไปด้วยทิวเขา มองเห็นทุ่งกังหันลมขนาดใหญ่ ใบพัดหมุนช้าๆ จากแรงลม
บอกไว้เลยว่าวิวและบรรยากาศที่นี่จะทำให้ทุกคนประทับใจแน่นนอน

 

มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกว๋างจิ ไปที่ ป้อมปราการกว๋างจิ
เป็นป้อมปราการอายุหลายร้อยปีและถูกใช้เป็นฐานที่มั่นสำคัญในช่วงสงครามเวียดนามด้วย
ภายหลังจากกองทัพเวียดนามเหนือยึดที่นี่ได้แล้ว อเมริกาก็ส่งกองกำลังมาโจมตีอย่างหนัก
ทำให้เกิดเหตุการณ์รบ 81 วัน 81 คืน ของเหล่าทหารนับพันที่ต้องพลีชีพเพื่อรักษาป้อมปราการกว๋างจิแห่งนี้

 

ใกล้กันกับป้อมปราการกว๋างจิมีหลักฐานความรุนแรงของสงครามที่ยังคงหลงเหลืออยู่
นั่นคือ ซากโรงเรียนโบ่เด่ สถานศึกษาของเด็กนักเรียนที่ถูกทำลายจนเหลือเพียงซากอาคารที่ผนังเต็มไปด้วยร่องรอยจากระเบิดและกระสุนนับไม่ถ้วน
การเก็บรักษาซากโรงเรียนนี้ไว้ทำให้ชาวเมืองกว๋างจิและผู้ที่เดินทางผ่านมาได้เห็นถึงความรุนแรงของสงครามในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี

 

นอกเมืองออกไปไม่ไกล มีโบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่ คือ โบสถ์ลาวาง
มหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ของโบสถ์แห่งนี้ก็ถูกทำลายในช่วงสงครามเวียดนามด้วยเช่นกัน
เป็นประจักษ์หลักฐานอีกแห่งที่ทำให้เห็นความรุนแรงของสงครามที่เกิดขึ้นที่เมืองนี้

 

ด้านหลังซากมหาวิหารหลังเก่า มีมหาวิหารหลังใหม่ที่สร้างได้อลังการและสวยงามมาก

 

ไปต่อกันที่ อุโมงค์วินห์มก อุโมงค์ใต้ดินที่ชาวบ้านใช้ที่เป็นหลบภัยและทหารใช้เป็นฐานกำลังในภารกิจสงครามด้วย
อุโมงค์ที่นี่มีขนาดใหญ่ เดินได้สบาย บางช่วงอาจต้องเดินก้มหัวเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับต้องลงไปคลานเหมือน อุโมงค์กู๋จี ที่นครโฮจิมินห์
คนตัวใหญ่หรือคนชราที่ไม่สามารถเข้าชมอุโมงค์กู๋จี สามารถมาชมอุโมงค์วินห์มก เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใต้ดินแบบชาวเวียดนามในยุคสงครามกันได้

  

 

สถานที่สุดท้ายนี้เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในเขตปลอดทหาร เพราะเป็นแนวแบ่งเขตแยกประเทศเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้
สถานที่นั้นคือ แม่น้ำเบ๋นไห่ ที่มี สะพานเหี่ยนเลือง ข้ามแม่น้ำเชื่อมต่อประเทศเวียดนามเหนือและใต้
ที่สะพานเหี่ยนเลืองครึ่งหนึ่งทางฝั่งเวียดนามเหนือทาสีฟ้า ส่วนอีกครึ่งทางฝั่งเวียดนามใต้ทาสีเหลือง
ในอดีตช่วงที่ประเทศเวียดนามถูกแบ่งเป็นเหนือใต้ สะพานแห่งนี้ไม่มีใครข้าม
แต่ปัจจุบันประเทศเวียดนามรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเดินบนสะพานข้ามเส้นแบ่งเขตเวียดนามเหนือใต้
เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ชาวเวียดนามที่เสียชีวิตไปก่อนในสงครามรวมประเทศไม่มีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์นี้

 

ผืนธงชาติเวียดนามขนาดใหญ่ที่โบกสะบัดบนยอดเสาธง บนฝั่งทางทิศเหนือของแม่น้ำเบ๋นไห่
เป็นสัญลักษณ์ของประเทศเวียดนามที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
ไม่มีเขตปลอดทหารเป็นแนวแบ่งเขตประเทศเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้ อีกต่อไป